ทุกคนรู้ว่าการเดินนั้นมีประโยชน์ ปลอดภัย และง่ายกระทั่งเด็กอนุบาลก็สามารถทำได้ แต่ทำไมน้อยคนนักที่จะชอบเดิน
เราอยู่ในยุคที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทำให้การเดินของเราแทบจะเป็นง่อย เราไปไหนมาไหนด้วยรถ เราสั่งอาหารให้คนมาส่งถึงบ้าน เราต้องจอดรถให้ใกล้กับร้านที่เราต้องการไปมากที่สุด บางคนแทบจะเป็นบ้าหากต้องจอดรถห่างออกไปจากร้านเพียง 10 ก้าว เรามองการเดินเหมือนผู้ร้ายที่จะพรากสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากเราไป แต่ความจริงคือเมื่อการเดินของเราค่อย ๆ หายไป สุขภาพที่ดีของเราก็จะค่อย ๆ หายไปด้วยเช่นกัน
ผมเริ่มต้นออกเดินด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ด้วยอาชีพที่ต้องนั่งโต๊ะแทบจะตลอดเวลา พอถึงจุดหนึ่งมันก็ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย สัญญานแห่งความอ่อนแอเริ่มปรากฎออกมาอย่างชัดเจน ทั้งอาการปวดเมื่อย ภูมิแพ้ และการไม่สบายอิด ๆ ออด ๆ ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกอบกู้สุขภาพของผมคืนมา
ผมเริ่มต้นจากการวิ่ง แต่เนื่องด้วยร่างกายที่ยังอ่อนแอและปราศจากความรู้เกี่ยวกับการวิ่งที่ถูกต้อง ทำให้เข่าของผมเกิดอาการบาดเจ็บ ผมเข็ดขยาดการวิ่ง และห่างหายไปจากมันสักพักใหญ่ จนกระทั่งวันหนึ่งผมตัดสินใจที่จะเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ อย่างการเดิน
การเดินถูกประเมินค่าต่ำมาก มันสามัญ ธรรมดา เรียบง่าย ไม่ตะโกน ไม่เรียกร้องความสนใจ ไม่มีใครคิดว่าคุณเก่ง หรือเท่จากการเดิน เพราะคุณแค่เดิน เหมือนคุณหายใจ มันธรรมดาถึงเพียงนั้น แต่มันเป็นความธรรมดาที่ต่างจากการหายใจตรงที่ว่า ถ้าคุณไม่ตั้งใจเดิน ก็เหมือนว่าวันนั้นคุณไม่ได้เดิน
ใช่แล้วครับ คุณต้อง “ตั้งใจเดิน”
ถ้าอยากให้การเดินนำพา “สุขภาพดี” มาด้วย
ผมเคยคิดว่าใคร ๆ ก็เดินกันอยู่แล้ว ทำไมต้อง “ตั้งใจ” ออกไปเดินอีกด้วย แต่หลังจากที่ผมได้ออกไปเดินบ้าง ไม่เดินบ้างเป็นบางวัน ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าวันไหนที่ผมไม่ออกไปเดินนั้น วันนั้นแทบจะเรียกว่าไม่เดินด้วยซ้ำ ก้าวเดินของผมน้อยมาก ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปคิดว่านอกจากการเดินจากโต๊ะทำงานไปที่ห้องครัว เดินจากโต๊ะทำงานที่รถ และเดินจากรถไปนั่งที่โต๊ะร้านอาหารแล้ว ก็แทบไม่มีการเดินเกิดขึ้นอีกเลย เมื่อผมพยายามหาความรู้ว่าคนเราควรเดินกี่ก้าวต่อวัน ตัวเลขที่ออกมาคือ 5,000 ก้าวถึง 10,000 กว่าก้าวต่อวัน แต่ผมกลับเดินไม่ถึง 500 ก้าวด้วยซ้ำ!
ในเช้าวันใหม่ที่มาถึงผมจึงใส่รองเท้าและออกไปเดินที่สวนสาธารณะ บางครั้งผมก็ฟังพอดแคสต์ระหว่างการเดินด้วย มีประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ คือ “เมื่อคุณออกเดิน คุณจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป” ประโยคนี้มันย้ำซัดเข้ามาในจิตใจของผมว่า “ใช่ เราจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่เป็นคนที่ใช้เวลาเช้าไปกับการนอน เราจะเป็นคนใหม่ เราจะเป็นคนที่ดีกว่าเดิม”
เมื่อเราตั้งใจเดินสักพัก เราจะสังเกตเห็นสิ่งต่าง ๆ ระหว่างการเดิน
ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าสีเสื้อที่คนส่วนใหญ่ที่มาเดินนั้นมันสอดคล้องกับสีของวัน
ผมสังเกตเห็นว่ามีคนหนึ่งที่วิ่งด้วยรองเท้าแตะ แต่ทำไมเขาวิ่งเร็วมากจนแซงเราไปหลายรอบ
ผมสังเกตเห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่ตื่นเช้าออกมาเดินนั้นเป็นผู้ใหญ่ที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราแล้ว น้อยนักที่จะเป็นคนหนุ่มสาว
บางทีมันก็ทำให้ผมครุ่นคิดว่าผู้อาสุโสที่น่าเคารพเหล่านี้ เขาเริ่มเดินตั้งแต่ตอนไหนกันนะ?
เขาออกเดินตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ ที่ยังแข็งแรงอยู่และทำเรื่อย ๆ เป็นเวลานานนับสิบปี?
หรือเพิ่งเดินตอนที่คิดได้ว่าตนนั้นเข้าสู่วัยชรา ไร้เรี่ยวแรง และมีโรคประจำตัวแล้ว?
ย้อนมาที่ตัวเอง ผมค่อนข้างเสียดายเวลาชีวิตที่ผ่านมา ผมเสียดายที่เริ่มออกเดินช้าไป ผมพลาดสิ่งที่เขาเรียกกันว่า “ดอกเบี้ยทบต้น” ของการออกกำลังกายตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ การมาเร่ิมต้นในวัย 30 กว่านี้อาจต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนด้านสุขภาพเท่ากับคนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ได้เริ่มแล้ว และอยากให้ทุกคนที่ยังไม่เคย “ตั้งใจเดิน” เริ่มออกไปเดินตั้งแต่วันนี้
ทุกวันนี้การเดินสำหรับผม ไม่ใช่ทำเพื่อร่างกายอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว การเดินเป็นเรื่องของการพักและจัดระเบียบความคิด บางครั้งก็ปล่อยให้สมองได้คุ้นชินกับความเบื่อหน่ายและว่างเปล่าเพื่อเตรียมพื้นที่รับความคิดสร้างสรรค์ ในโลกที่ทุกอย่างถาโถมเข้ามาในห้วงความคิดตลอดเวลาผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ การก้าวเดินเคลื่อนที่ไปข้างหน้ากลับเป็นการหยุดชีวิตให้หยุดนิ่งอยู่กับปัจจุบันและปล่อยให้ความคิดได้ตกตะกอน
มีอีกประโยคหนึ่งจากพอดแคสต์ที่จะเป็นกำลังใจให้ทุกคนได้ออกไปเดินคือ
“ไม่สำคัญที่ระยะทาง ไม่สำคัญที่ความความเร็ว แต่สำคัญที่ความสม่ำเสมอ”
ดังนั้นไม่ว่าจะเหนื่อยล้า ขี้เกียจ หรือยุ่งแค่ไหน
แค่หยิบรองเท้า และออกไปเดิน แค่ 2 นาทีก็ก็ยังดี
เขียนดีมาก
http://toyota-porte.ru/forums/index.php?autocom=gallery&req=si&img=3146