ดวงตาของชายหนุ่มค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว นับตั้งแต่แม่ของตัวเองวิ่งจากห้องด้วยน้ำตาคลอเบ้า เพื่อเรียกหมอและพยาบาลมาดูอาการลูกชายของตนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้
“นี่ฉันเพิ่งจะ 33 เองนะ” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองอยู่ในหัวลึก ๆ ลึกชนิดที่ว่าไม่มีผู้ใดในโลกอันโดดเดี่ยวใบนี้จะได้ยินมันได้
เขาเคยเป็นพนักงานในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง มันไม่ได้เป็นงานที่เขารักมากหรอก แต่เขาก็ไม่ได้เกลียดมัน เขาคิดว่าเขาสามารถทำมันได้เรื่อย ๆ อย่างน้อยก็จนกว่าเขาจะสามารถลาออกไปทำงานในฝันได้
ใช่…เขาคิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่งเขาจะออกไปทำตามฝันของตนเอง ยกเว้นเสียแต่ว่าเขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่า “งานในฝัน” ของเขานั้นคืออะไร
เขาไม่ได้คิดถึงมันเท่าไหร่นัก เพราะวันแต่ละวันผ่านไปกับการยืนและนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน บ้างก็ต้องเช็คสต็อกสินค้า บ้างก็ต้องยกของที่มาส่ง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชีวิตของเขาเวียนวนหมุนไปเช่นนี้เรื่อยมา 4 ปีแล้ว
“ลูก…ได้ยินแม่ไหม?” เขาได้ยินเสียงแม่เรียกตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับเสียงสั่นระรัวที่เขาเคยร้องเพลงอยู่ต่อหน้าพัดลมสมัยที่เขาเป็นเด็กชายที่อายุยังน้อยกว่านี้ ตอนนั้นเป็นบ่ายแก่ ๆ ของวันศุกร์ วันที่เด็กคนอื่น ๆ ทยอยกลับจากโรงเรียนด้วยหน้าตาที่ชื่นบานมากกว่าวันอื่น แต่เขากลับเอาแต่ร้องเพลงอยู่ในห้องนั่งเล่น เพราะไม่ได้ไปโรงเรียนมาสองวันแล้ว โดยฝากเพื่อนส่งจดหมายไปให้ครูว่าขอลาป่วย
“เอาแต่ร้องเพลงอยู่นั่นแหละ โรงเรียนก็ไม่ไป บอกว่าครูไปประชุม ประชุมบ้าอะไรเด็กคนอื่น ๆ เขาไปกันหมด” เสียงของแม่ที่ดูเหมือนจะมีอารมณ์ของความขุ่นเคืองคลุกเคล้าอยู่เล็กน้อยดั่งส่วนผสมของเกลือที่ใส่เข้าไปในน้ำแกง แต่ก็ยุ่งเกินกว่าจะใส่ใจการร้องเพลงของลูกเท่าไหร่นัก เพราะตนเองกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบทำอาหารมื้อเย็นอยู่ในครัว
“ร้องเพลง? ใช่แล้ว ฉันชอบร้องเพลงมาตลอด ฉันเคยมีความสุขกับมันมาก” เขาคิดหลังจากที่นึกถึงได้ตอนที่แม่เรียกตนเองอยู่ข้าง ๆ เตียง เขายังคงจำความรู้สึกของการร้องเพลงต่อหน้าพัดลมนั้นได้เป็นอย่างดี มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใดที่เขาเคยเจอบนโลกใบนี้ พัดลมที่เป็นเหมือนครูสอนร้องเพลงใจดีผู้ไม่เคยว่ากล่าว เป็นดั่งผู้ฟังที่คอยสดับรับฟังโดยไม่ปริบ่นและเบื่อหน่าย แม้จะเป็นพัดลมเก่า ๆ ที่ปุ่มเบอร์สามเสียไปหนึ่งปุ่มจากการเหยียบกระแทกแรง ๆ ตอนเปิดมันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
“ตี๊ดดดดดดด~” เสียงเครื่องวัดชีพจรลากยาวอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน จากนั้นเสียงก็ค่อย ๆ เบาลงจนเงียบสนิท
“ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” เสียงเข็มนาฬิกาดังก้องกังวาลเหมือนที่เขาเคยได้ยินตอนที่เขานอนอยู่ในห้องนั่งเล่นตอนวัยแรกรุ่น วันนั้นเป็นวันที่เพื่อนของเขามาเยี่ยมบ้านและนอนพักค้างคืนที่บ้านเขาหนึ่งคืน
“แล้วมึงจะเข้าเรียนต่อที่ไหนวะ” เพื่อนของเขาถาม พลางเอามือสองข้างคั่นไว้ระหว่างหัวกับหมอน สายตาจับจ้องไปยังนาฬิกาที่แขวนอยู่บนเสาไม้เก่า ๆ และเข็มชี้ไปที่เลข 3 สามสิบสามนาที
“ไม่รู้ว่ะ” เขาหมายความอย่างที่เขาตอบไปจริง ๆ แล้วเขาก็ผล็อยหลับไปด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่าที่สุด
เขาตื่นมาอีกทีในห้องที่มืดสนิท จริง ๆ เขาไม่เห็นแม้กระทั่งผนังหรือเพดานด้วยซ้ำ ได้ยินแต่เสียงนาฬิกาที่ดังอยู่สองสามครั้งแล้วก็ดับไป ตอนนี้เขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงพัดลมที่คอยส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดตอนที่หมุนซ้ายขวาดั่งเช่นคนแก่ที่มองมายังตัวเขาแล้วส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
สักพักเมื่อสายตาของเขาเริ่มคุ้นชินกับความมืด เขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในความมืดนั้น มันเป็นรูปทรงที่เขาคุ้นเคย ใช่แล้ว…มันคือนาฬิกา แต่เป็นนาฬิกากองพะเนินที่ตั้งกองอยู่เบื้องหน้ายาวสุดลูกหูลูกตา
“มันเป็นซากเวลาในชีวิตของเจ้า” เสียงดังก้องขึ้นมาในหัวของเขา เขาหันไปมองทุกทิศแต่ไม่พบใคร มีเพียงตัวเขาและนาฬิกาจำนวนนับไม่ถ้วนเท่านั้นที่ตั้งอย่างสะเปะสะปะรอบ ๆ ตัว
“เสียงที่เจ้าได้ยินก่อนหน้านี้ คือเสียงเข็มวินาทีสุดท้ายของเจ้า”
“นี่ฉันตายแล้วหรือนี่?” เขาคิดกับตัวเอง
“เจ้าเคยใช้สิ่งที่ค่ามหาศาลเหล่านี้อย่างไร้ค่าที่สุด”
“ฉันขอย้อนเวลากลับไปได้ไหม?” เขาตะโกนร้องขอออกไป โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังร้องขอจากใคร เพราะไม่มีวี่แววของใครเลยที่ปรากฏอยู่แถว ๆ นั้น “ฉันขอเวลาแค่นาทีเดียวเท่านั้น”
“ขอเวลาอีกแค่หนึ่งนาทีน่ะแม่” เสียงของเขาในวัยทำงาน ในขณะที่กำลังเล่นเกมอยู่หน้าจอทีวีในห้องนั่งเล่นช่วงสุดสัปดาห์ หลังจากที่เล่นมาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนกระทั่งมีเสียงแม่ที่สั่งให้เขาปิดทีวีและเข้าไปนอนได้แล้ว
“อีกแค่หนึ่งนาทีรึ?” เสียงทุ้มในหัวของเขา เรียกสติให้เขากลับเข้ามาอยู่ในปัจจุบัน “เจ้าเคยได้รับหนึ่งนาทีนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้เจ้าจะเอาหนึ่งนาทีนั้นไปทำอะไร?”
“ฉันจะเอาไปบอกรักแม่ ขอโทษแม่ และบอกลาแม่”
“ได้” เสียงทุ้มตอบกลับมาอย่างเย็นชาที่สุด “แต่เจ้าต้องไปหาเวลานั้นเอาเอง มันมีนาฬิกามากมายจากเศษซากชีวิตของเจ้าที่กองพะเนินอยู่แถวนี้ เจ้าออกไปหาสิ ถ้าเจ้าเจอนาฬิกาเรือนใดที่ยังเดินอยู่ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่นานเท่าเข็มนาฬิกาที่กำลังเดินนั้น”
เขายืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้กลับไปใช้ชีวิตอีกครั้ง ในช่วงที่เขาป่วยอยู่บนเตียงเขาก็เคยคิดเสมอว่าถ้าเขาหายดีแล้วเขาจะกลับไปทำอะไรบ้าง เขาจะตั้งใจทำงาน เก็บเงิน ออกเดินทางหาประสบการณ์ ตามหาความฝัน หรือไม่ก็แต่งงานกับภรรยาแสนสวย และมีลูก ๆ ที่น่ารัก
“รีบออกไปหาสิ ยิ่งช้า ชีวิตที่เจ้าจะมีก็จะยิ่งน้อยลง”
เขารีบลนลานออกไปหานาฬิกาที่ตั้งอยู่กองอยู่ตรงหน้า เรือนแล้วเรือนเล่า เขาไม่พบนาฬิกาเรือนใดที่เข็มยังเดินได้เลยสักเรือน แต่เขาก็ยังคงหาเรื่อย ๆ เขาเดินหน้าไปหยิบจับนาฬิกามาดูแล้ววางทิ้งไว้ด้านหลัง ทุก ๆ ครั้งที่เขาจับนาฬิกา ความทรงจำที่เขาเคยมีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ปรากฏแวบขึ้นมาในหัว ใช่แล้ว…นาฬิกาหนึ่งเรือนคือชีวิตหนึ่งวันที่เขาใช้หมดไป
เขาไม่รู้เลยว่าเขาได้ใช้เวลาไปนานเท่าไหร่กับการควานหานาฬิกาจนกระทั่งเขามาเจอนาฬิกาเรือนสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นนาฬิกาเรือนเดียวที่ยังเดินอยู่ “ใช่แล้ว…มันเป็นนาฬิกาที่ยังเดินอยู่ มันกำลังเดินอยู่!” เขาดีใจมากที่เจอนาฬิกาเรือนนี้จนได้ แต่แปลกใจที่นาฬิกาเรือนนี้ไม่มีความทรงจำใด ๆ ปรากฎขึ้นเลย มันว่างเปล่าทั้งในความทรงจำและความรู้สึก
“นี่ไง! ฉันเจอนาฬิกาแล้ว” เขาตะโกนและหันไปรอบ ๆ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าแถวนั้นไม่มีใครอยู่เลย เขาจึงได้พูดเบา ๆ กับตนเองว่า “ขอแค่หนึ่งนาที…หนึ่งนาทีเท่านั้น
“จะพูดอะไรหรือลูก?” เสียงแม่ของเขาที่ถามหลังจากที่เห็นริมฝีปากของเขาพึมพำอะไรบางอย่าง เขาเห็นรอยยิ้มเคล้าน้ำตาของแม่ได้ชัดเจนนัก พลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนังห้องที่กำลังส่งเสียง “ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” เป็นจังหวะที่คุ้นชินไม่เปลี่ยนแปลง
“ผมขอโทษครับแม่ ผมรักแม่ ผมอยากจะใช้เวลากับแม่ให้ดีกว่านี้” เขาพูดออกไปผ่านสายท่อช่วยหายใจ พลางหยดน้ำตาที่เคยค้างอยู่ในดวงตาก็ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาอีกแล้ว…ไม่มีเลย
เขา…จับจ้องไปที่นาฬิกานั้นอีกครั้ง แล้วก็พบว่ามันชี้ไปที่เลข 3 สามสิบสามนาที แล้วก็ไม่เดินอีกต่อไป